News Ticker

[สรุปหนังสือ] The Premonition : A Pandemic Story

 

 

[สรุปหนังสือ] The Premonition : A Pandemic Story (2021)

by Michael Lewis

 

“You cannot wait for the smoke to clear: once you can see things clearly, it is already too late.”

 

การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่เริ่มต้นขึ้นในเมืองอู่ฮั่น ณ มณฑลหูเป่ยของสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เปลี่ยนโลกที่พวกเราอาศัยอยู่ไปแบบพลิกฝ่ามือภายในระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือน แต่เมื่อย้อนกลับไปในเดือนมกราคม 2020 ที่ข่าวการเสียชีวิตของผู้คนในประเทศจีนเริ่มแพร่กระจายไปทั่วโลก มนุษย์แทบทุกคนรวมถึงตัวของผมเองก็คงไม่ได้คาดคิดว่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เกิดขึ้นในเมืองที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนจะสามารถสร้างความเสียหายได้อย่างใหญ่หลวงขนาดนี้

แต่อย่างไรก็ตาม ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ยังมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่มองเห็นถึงความรุนแรงของภัยร้ายครั้งนี้ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นและพยายามทำทุกวิถีทางในการป้องกันและบรรเทาความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ขณะที่ระบบสาธารณูปโภคและการบริหารของรัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของ Donald Trump นั้นแทบไม่ได้เตรียมการป้องกันภัยอันตรายนี้แต่อย่างใด

The Premonition คือ หนังสือที่บันทึกเรื่องราวของกลุ่มชาวอเมริกันที่ “ล่วงรู้” ถึงความอันตรายของเชื้อไวรัส COVID-19 โดยฝีมือของ Michael Lewis นักเขียนอัจฉริยะที่มักหยิบเอาเรื่องราวแห่งยุคสมัยมาเล่าผ่านตัวละครผู้คนที่พวกเราไม่เคยรู้จักมาก่อนได้สนุกไม่แพ้กับนวนิยายเรื่องเยี่ยม การันตีจากผลงานระดับ bestseller ของเขาอย่าง The Big Short ที่พูดถึงกลุ่มคนที่ได้ประโยชน์จากวิกฤติแฮมเบอเกอร์, Flash Boys ที่เล่าเรื่องราวของนักเทรดหุ้นแบบความถี่สูงและ Moneyball ที่ว่าด้วยทีมเบสบอลผู้ริเริ่มการนำเอาข้อมูลมาใช้วิเคราะห์เพื่อวางแผนการซื้อตัวนักกีฬาได้อย่างชาญฉลาด

ถึงแม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเน้นไปที่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก แต่บทเรียนและเรื่องราวของตัวละครต่างๆที่ Michael Lewis หยิบมาเล่านั้นก็น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนอยู่บ้างไม่มากก็น้อยครับ ขอเชิญทุกท่านอ่านสรุปหนังสือ The Premonition เล่มนี้กันได้เลยครับ

 

ผู้เขียน Michael Lewis (source: Decider)

 


 

PART I

 

PROLOGUE | The Looking Glass

ในปี 2004 เด็กสาววัย 13 ปีนามว่า Laura Glass เริ่มหลงใหลในเรื่องราวของ “โรคติดต่อ (communicable disease)” หลังจากที่เธอได้รู้จักกับเหตุการณ์ Black Death ที่คร่าชีวิตประชากรกว่า 1 ใน 3 ของทวีปยุโรประหว่างปี 1346 ถึงปี 1353 และทำให้เธอตัดสินใจไปขอให้ Bob Glass คุณพ่อนักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบัน Sandia National Laboratories ช่วยต่อยอดโปรแกรมจำลอง agent-based model ที่เขากำลังพัฒนาอยู่เพื่อใช้จำลองการแพร่เชื้อโรคระบาดระหว่างมนุษย์เพื่อเข้าร่วมแข่งขันในงานประกวดโครงการวิทยาศาสตร์ประจำโรงเรียน

แน่นอนว่า Laura Glass สามารถคว้าชัยชนะมาได้อย่างสบายๆ แต่เธอเองก็ทราบดีว่าโปรแกรมจำลองระดับมือสมัครเล่นของเธอนั้นใช้งานจริงไม่ได้ เพราะตัวโปรแกรมปัจจุบันนั้นเป็นเพียงการจำลองการเดินทางของคนแต่ละกลุ่มตามตารางการเดินไปมาที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า โดยคนทุกคนในโมเดลจะเดินไปเรื่อยๆ เมื่อมีคนสองคนเดินมาสัมผัสกัน คนที่ติดเชื้อก็จะแพร่เชื้อให้กับอีกคนในทันที ซึ่งโมเดลลักษณะนี้ไม่ได้คำนึงถึงพฤติกรรมทางสังคมของมนุษย์และกระบวนการแพร่เชื้อโรคติดต่อที่แท้จริง

ต่อมา Laura Glass และทีมงานโปรแกรมเมอร์มือดีของ Bob Glass ก็ได้ร่วมมือกันพัฒนาโปรแกรมจำลองการแพร่ระบาดอย่างสมจริงมากยิ่งขึ้น โดยอ้างอิงจาก “พฤติกรรมของเชื้อไวรัส” ที่มีการกำหนดระยะเวลาการเพาะเชื้อกับระยะเวลาที่การสัมผัสจะทำให้เกิดการติดต่อได้จริงและ “พฤติกรรมทางสังคมของมนุษย์” แต่ละกลุ่มอย่างแท้จริงผ่านการเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามของผู้คนแต่ละประเภทว่าตารางการใช้ชีวิตประจำวันของเขานั้นมีการพบปะกับใครบ้างและอยู่ใกล้กันนานพอที่จะแพร่เชื้อต่อได้หรือไม่ จนทำให้พวกเขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่ามนุษย์ในกลุ่มวัยเด็กและวัยรุ่นนั้นมีโอกาสในการพบเจอและแพร่เชื้อโรคให้กับคนอื่นมากกว่าคนกลุ่มอื่นอยู่มากจากการที่พวกเขาชอบออกจากบ้านเพื่อพบเจอเพื่อนฝูงและไปเรียนหนังสือในโรงเรียนที่มีคนอยู่จำนวนมาก

ผลลัพท์ของโมเดลตั้งต้นนี้เริ่มทำให้สองพ่อลูกตระกูล Glass กังวลใจต่อแนวทางในการรับมือกับโรคระบาดของประเทศสหรัฐอเมริกาทันที เมื่อโรงงานผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่แห่งหนึ่งต้องปิดตัวลงจากการปนเปื้อนจนทำให้สหรัฐอเมริกามีวัคซีนเหลือเพียงแค่ครึ่งเดียว สิ่งที่รัฐบาลอเมริกาตัดสินใจทำในตอนนั้นก็คือการเก็บวัคซีนที่เหลือไปฉีดให้กับคนชราที่มีโอกาสเสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่มากที่สุด ทั้งๆที่คนชราส่วนใหญ่มักอยู่บ้านและมีโอกาสน้อยที่จะทำตัวเป็นพาหะไปติดคนอื่น ตรงกันข้าม โมเดลจำลองแบบมือสมัครเล่นของ Laura Glass คำนวณออกมาอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่รัฐบาลควรทำก็คือการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเด็กและวัยรุ่นที่หากติดจะสามารถแพร่เชื้อได้อย่างรวดเร็วก่อนเพื่อลดโอกาสในการแพร่เชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

ที่น่ากังวลไปกว่านั้น แนวทางในการรับมือกับโรคติดต่อกลายพันธุ์ที่ยังไม่มีวัคซีนชนิดไหนป้องกันได้ของรัฐบาลสหรัฐนั้นก็ยังเป็นเพียงแค่การเร่งผลิตวัคซีนชนิดใหม่และจัดจำหน่ายออกไปให้เร็วที่สุด ทั้งๆที่โมเดลของพวกเขาแสดงให้เห็นว่า “การกีดกัน” ไม่ให้ผู้คนมีโอกาสไปพบเจอและสัมผัสกันนั้นมีประสิทธิผลเท่ากับการฉีดวัคซีนให้ประชากรแต่ละคนเลย แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขแม้แต่คนเดียวที่คิดถึงแนวทางในการหยุดยั้งไม่ให้ชาวอเมริกันทำตัวเป็นพาหะแพร่เชื้อในเครือข่ายสังคมของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเลย

 

ภาพวาดเหตุการณ์กาฬโรคระบาดที่ถูกเรียกว่า The Black Death (source: aeon)

 

ONE | Dragon

Dr. Charity Dean เปรึยบได้กับ “นางเอก” ในหนังสือ The Premonition เล่มนี้ เธอคือผู้ที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง chief health officer ประจำเมือง Santa Barbara ในรัฐ California ในปี 2014 เพื่อทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยทางสาธารณสุขให้กับประชาชน ไม่ว่าจะเป็น ความสะอาดของร้านอาหาร สุขอนามัยของชุมชนแออัด อัตราการปนเปื้อนของเชื้อโรคในน้ำและทะเบียนการเสียชีวิตของประชากร แต่สิ่งที่ดึงดูดใจให้เธอตัดสินใจทิ้งอาชีพแพทย์ที่มีรายได้ดีมารับงานนี้ก็คือ “อำนาจเบ็ดเสร็จ” ในการตรวจสอบและบริหารจัดการหากมีการเกิดวิกฤติโรคระบาด ซึ่งเธอเองก็มีความหลงใหลในศาสตร์ของระบาดวิทยาอยู่มากและเคยทำงานเป็นแพทย์ในทวีปแอฟริกาใต้ที่เป็นแหล่งกำเนิดของโรคระบาดส่วนใหญ่มาก่อน

ถึงแม้ว่า Dr. Charity Dean จะตัวเล็กและมีรูปร่างที่บอบบาง แต่เธอก็ถือเป็นอีกหนึ่งผู้หญิงสุดแกร่งดั่ง “มังกร” ที่ครั้งหนึ่งเธอเคยยอมผ่าศพของหญิงสาวที่เสียชีวิตจากวัณโรคในสมองเพื่อตรวจดูว่าเชื้อร้ายแพร่กระจายไปที่ปอดต่อหรือไม่ด้วยตัวเองเพียงเพราะว่าไม่มีแพทย์ผ่าศพคนไหนกล้าผ่าเนื่องจากกลัวการติดเชื้อ เพราะหากเชื้อวัณโรค (tuberculosis) ลงไปที่ปอดจริง หญิงสาวคนนั้นก็อาจเป็นพาหะไปติดเพื่อนร่วมงานของเธอกว่า 300 ชีวิตได้ ซึ่งก็โชคดีที่ปอดของหญิงคนนั้นปกติดี แต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นก็เริ่มทำให้เธอคิดถึงความเปราะบางของสังคมสหรัฐอเมริกาเพราะบรรดาตำรวจและแพทย์ผ่าศพคนอื่นต่างใส่เสื้อป้องกันตัวเองอย่างแน่นหนาตามความเข้าใจที่ผิดๆของพวกเขาที่ว่าเชื้อวัณโรคนั้นสามารถแพร่ในอากาศจากการผ่าศพของผู้ติดเชื้อได้อย่างรุนแรง ชาวอเมริกันจำนวนมากรวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐเองมีความเข้าใจต่อเชื้อโรคติดต่อที่น้อยไปมากจริงๆ

 

Dr. Charity Dean (source: Lomboc)

 

TWO | The Making of a Public-Health Officer

ช่วงเวลาการทำงานกว่า 7 ปีในภาคสาธารณสุขของ Dr. Charity Dean ให้กับเมือง Santa Barbara ได้ทำให้เธอเข้าใจวิธีการรับมือกับโรคติดต่อที่ต้องอาศัยวิธีการทำงานแบบ “นักสืบ” ที่ต้องสืบหาต้นตอของการระบาดอย่างรวดเร็วและการ “ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด” ในทันทีที่ความเสี่ยงด้านโรคติดต่อเริ่มมีมูลเหตุ เพราะการรอให้หลักฐานของการแพร่ระบาดเกิดขึ้นอย่างชัดเจนนั้นหมายความว่าโรคร้ายเหล่านั้นได้ระบาดไปในวงกว้างไปเรียบร้อยแล้ว การรอคอยแม้เพียง 1 วันอาจทำให้มีคนตายเป็นจำนวนมาก

ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่เธอค้นพบผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี (hepatitis C) รายหนึ่งที่พึ่งป่วยได้ไม่นาน เธอได้รีบสั่งการให้ทีมงานของเธอไปตระเวนตรวจสอบสถานที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อผ่านสายเลือดจนค้นพบกับคลีนิกรักษาด้วย stem cell ชื่อดังแห่งหนึ่งที่เธอสังเกตว่ากระบวนการของแพทย์เจ้าของคลีนิกนั้นไม่มีความสะอาดตามมาตรฐานและได้สั่งปิดคลินิกแห่งนั้นในทันที การตัดสินใจปิดคลินิกโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขนั้นแทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลยและหากเธอตัดสินใจผิดนั้นอาจหมายถึงการที่เธอต้องลาออกจากงานได้ แต่ผลสุดท้าย ทีมงานของเธอก็พบว่ามีผู้ป่วยจากโรคไวรัสตับอักเสบซีจากคลินิกนี้อีก 4 คนซึ่งเกิดขึ้นจากการที่นายแพทย์ชื่อดังไม่ยอมเปลี่ยนกระบอกเข็มฉีดยาระหว่างการทำการรักษาและสามารถป้องกันไม่ให้คลินิกแห่งนี้ทำผิดพลาดซ้ำสองได้อีก

หรืออีกกรณีหนึ่ง เด็กหนุ่มคนหนึ่งเกิดป่วยเป็นโรคไข้กาฬหลังแอ่น (meningitis B) ที่ทำให้แพทย์ต้องสั่งตัดขาของเขาทันทีและเกิดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของเชื้อโรคที่มีความรุนแรงสูงจนทำให้ Dr. Charity Dean ตัดสินใจสั่งปิดหอพักนักศึกษาที่เป็นแหล่งแพร่เชื้อจากกิจกรรมทางเพศสัมพันธ์ได้ในทันที สั่งตรวจนักเรียนทุกคนที่มีอาการป่วยเพียงเล็กน้อย สั่งยกเลิกกิจกรรมทางการกีฬาและสั่งให้รีบนำเข้าวัคซีนที่ได้รับการยอมรับจากยุโรปแล้วแต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติในอเมริกา โดยการตัดสินใจของเธอได้รับการคัดค้านจาก Centers for Disease Control and Prevention (CDC) ที่เป็นศูนย์ควบคุมโรคกลางของประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มประตูด้วยเหตุผลที่ว่าเธอไม่มีหลักฐานที่มากพอและทาง CDC ยังไม่ได้มีแนวทางในการป้องกันโรคไข้กาฬหลังแอ่นที่เป็นมาตรฐาน พวกเขาต้องการใช้การแพร่ระบาดของ Santa Barbara เป็นหนูทดลองและให้ Dr. Charity Dean ทดลองวิธีการป้องกันการแพร่ระบาดทีละวิธีเพื่อศึกษาว่าวิธีการไหนได้ผลดีที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่ยอมและไม่รีรอที่จะสั่งการทุกอย่างในทันทีและสามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดในครั้งนี้ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งต่อมา CDC ก็ได้ออกแนวทางการป้องกันการระบาดของโรคไข้กาฬหลังแอ่นที่อ้างอิงจากวิธีการควบคุมโรคของเธอเกือบทั้งหมด

นอกจากการได้รับรู้ว่าการตัดสินใจที่เด็ดขาดอย่างรวดเร็วนั้นมีผลสำคัญอย่างมากต่อการหยุดยั้งการแพร่ระบาด Dr. Charity Dean ยังได้เรียนรู้ถึงสถานภาพของระบบสาธารณสุขของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ถูกควบคุมโดย CDC ที่เธอมองว่าเป็นองค์กรการเมืองที่ไม่กล้าสั่งการอย่างทันท่วงทีและพยายามหลีกเลี่ยงการตัดสินใจใดๆเพราะองค์กรรัฐมักถูกตำหนิจากการตัดสินใจทำที่ผิดพลาดมากกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการไม่ได้ทำอะไร แต่วิธีคิดแบบนี้ถือเป็นอันตรายอย่างมากสำหรับการรับมือกับโรคติดต่อร้ายแรง

 

THREE | The Pandemic Thinker

Dr. Carter Mecher ตัวละครเอกอีกคนของหนังสือ The Premonition เล่มนี้ก็ได้เริ่มมีบทบาทขึ้นในปี 2005 หลังจากที่เขาได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในสมาชิกแรกเริ่มของคณะทำงานพิเศษในทำเนียบขาวที่ต้องรับหน้าที่วางแผน “กลยุทธ์ป้องกันโรคระบาดฉบับแรก” ของประเทศสหรัฐอเมริกาตามคำสั่งของประธานธิบดี George W. Bush ที่เริ่มตื่นตระหนกหลังจากทีมที่ปรึกษาของเขาได้แนะนำให้เขาอ่านหนังสือสรุปเหตุการณ์การแพร่ระบาดของไข้หวัดสเปนในปี 1918 ที่หากเกิดขึ้นอีกครั้งโดยไม่มีวิธีการรับมือที่ดีก็สามารถคร่าชีวิตชาวอเมริกันได้มากถึง 1.5 ล้านคนซึ่งหนักหนากว่าโศกนาฎกรรม 911 และภัยพิบัติจากเฮอริเคนแคทรีนาที่ George W. Bush ต้องพบเจอในสมัยการดำรงตำแหน่งของเขาอยู่แล้ว

โดย Dr. Carter Mecher นั้นมีภูมิหลังเริ่มต้นเป็นแพทย์ประจำ ICU ฝีมือดีก่อนที่เขาจะได้รับการคัดเลือกให้เป็น chief medical officer เพื่อทำหน้าที่ดูแลโรงพยาลทหารผ่านศึกหลายแห่งของประเทศที่ซึ่งเขาได้แสดงผลงานอย่างมากจากการวางระบบการจัดเก็บข้อมูลกระบวนการรักษาคนไข้อย่างละเอียดและนำเอาข้อมูลเหล่านั้นมาใช้หาจุดที่มีปัญหาเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างเป็นระบบได้อย่างช่ำชอง อาทิ เขาค้นพบว่าโรงพยาบาลทหารผ่านศึกในเครือข่ายแห่งหนึ่งมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในอัตราที่สูงกว่าโรงพยาบาลแห่งอื่นมากจากข้อมูลที่เขาตรวจเก็บ ซึ่ง Dr. Carter Mecher ก็ได้ลงพื้นที่ไปทำความเข้าใจกับสถานการณ์หน้างานจริงจนพบเจอว่าโรงพยาบาลแห่งนี้มีอัตราการส่งกลับตัวอย่างการตรวจหามะเร็งด้วยตัวเองของคนไข้ต่ำมากและทำให้เขาค้นเจอต้นตอว่าแสตมป์ที่โรงพยาบาลแนบไปกับพัสดุที่ให้คนไข้แต่ละคนนั้นไม่พอจนทำให้พัสดุของคนไข้โดนตีกลับจำนวนมาก ซึ่งโรงพยาบาลก็รีบแก้ไขในทันที

นอกจากนั้น วิธีการแก้ปัญหาเชิงระบบของ Dr. Carter Mecher ยังมุ่งเน้นไปที่การป้องกัน “ความผิดพลาดจากมนุษย์” ด้วยการวางระบบเพื่อทำให้มนุษย์ผิดพลาดได้ยากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การวางระบบ barcode สำหรับจ่ายยาคนไข้เพื่อป้องกันการจ่ายยาผิดฝาผิดตัว ซึ่งวิธีการคิดแก้ปัญหาด้วยการมองไปที่ระบบภาพใหญ่และความสามารถในการขุดหาต้นตอของปัญหาอย่างถึงลูกถึงคนของ Dr. Carter Mecher นั้นก็จะมีบทบาทอย่างมากในอนาคต

 

Dr. Carter Mecher (source: c-span)

 

FOUR | Stopping the Unstoppable

หลังจากการประกวดโครงการวิทยาศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จไปด้วยดี คุณพ่อ Bob Glass ก็ได้ตัดสินใจศึกษากลไกการแพร่ระบาดของไวรัสและพฤติกรรมที่ส่อให้เกิดการแพร่ระบาดของมนุษย์อย่างต่อเนื่องเพื่อนำมาพัฒนาโมเดลของเขา ซึ่งในท้ายที่สุด จากการบอกต่อของคนรู้จักก็ทำให้โมเดลของเขาได้รับความสนใจจาก Dr. Carter Mecher และคู่หูอาวุโสของเขาอย่าง Dr. Richard Hatchett แห่งคณะทำงานพิเศษของทำเนียบขาวที่ในตอนนั้นก็พยายามพัฒนาโมเดลจำลองการแพร่ระบาดออกมาอยู่เหมือนกัน

โดย Dr. Carter Mecher ได้ทำการศึกษาถึงผลลัพท์ของโมเดลของ Bob Glass ที่ออกแบบมาได้อย่างเข้าใจง่ายจนค้นพบว่าวิธีการที่สามารถลดความเสี่ยงของการแพร่ระบาดได้อย่างดีที่สุดเป็นอันดับหนึ่งเลยก็คือ “การปิดโรงเรียนและลดการปฏิสัมพันธ์ของเด็กและวัยรุ่น” ซึ่งไม่เคยได้รับการพูดถึงมาก่อนในแวดวงวิชาการใดๆเลย ซึ่ง Dr. Carter Mecher ก็รีบเดินทางไปสังเกตการณ์โรงเรียนของลูกจนพบเห็นปัจจัยเสี่ยงมากมาย ตั้งแต่ พฤติกรรมของเด็กที่เล่นกันอย่างใกล้ชิดกว่าผู้ใหญ่ทั่วไปมาก ไปจนถึง ความแออัดของรถโรงเรียนที่มีผู้ใช้บริการเยอะกว่าระบบขนส่งสาธารณะที่เหลือของอเมริการวมกันซะอีก

หลังจากนั้น Dr. Carter Mecher พร้อมกับ Dr. Richard Hatchett และ Lisa Koonin ผู้ซึ่งเป็นตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการจาก CDC ก็ได้ร่วมมือกันพัฒนาโมเดลและจำลองสถานการณ์ต่างๆจนค้นพบวิธีการ social intervention ที่ใช้เว้นระยะห่างของผู้คนในสังคมเพื่อป้องกันการติดต่อของเชื้อที่ใช้ได้ผลมากมาย แต่พวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับแรงต้านครั้งใหญ่จากหน่วยงานรัฐอื่นๆที่ไม่เห็นด้วยเลยกับแนวทางในการสั่งปิดโรงเรียนหรือสถานที่ต่างๆที่อาจส่งผลเสียหายทางเศรษฐกิจและความวุ่นวายทางสังคมเป็นอย่างมาก

ทีมงานประจำทำเนียบขาวทั้ง 3 คนจึงต้องหาวิธีการเปลี่ยนความคิดของคนส่วนใหญ่จนค้นพบกับหลักฐานสำคัญระหว่างการแพร่ระบาดของไข้หวัดสเปนในปี 1918 ที่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอัตราการเสียชีวิตของประชากรในเมือง St. Louis ที่ประกาศนโยบายเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างรวดเร็วหลังเกิดการแพร่ระบาดนั้นเป็นเพียงครึ่งเดียวของอัตราการเสียชีวิตในเมืองที่การแพร่ระบาดนั้นเกิดขึ้นมานานแล้วอย่าง Philadelphia ซึ่งถือเป็น “หลักฐานชิ้นโบว์แดง” ครั้งแรกในประวัติศาสตร์อเมริกันที่แสดงให้เห็นว่านโยบาย social intervention นั้นมีประสิทธิภาพในการบรรเทาการแพร่ระบาดได้จริง ประกอบกับ การนำเสนอเรื่องราวของการแพร่ระบาดที่เน้นอารมณ์ร่วมของคนดูอย่างการถามข้าราชการจากหน่วยงานอื่นๆว่า “ถ้าตอนนี้มีการแพร่ระบาดที่รุนแรงเหมือนไข้หวัดสเปนอีกครั้ง คุณจะกล้าส่งลูกของคุณไปโรงเรียนหรือเปล่า ถ้าไม่ ทำไมคุณถึงยอมส่งให้เด็กคนอื่นๆไปโรงเรียนหละ” จนทำให้ท้ายที่สุด CDC ก็ได้ยอมรับร่างนโยบาย social intervention ของทีมงานจากทำเนียบขาวนี้และนำไปพัฒนาต่อยอดต่อจนกลายเป็นที่ยอมรับในทั่วโลก

ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นจากโมเดลจำลองของนักเรียนวัย 13 ปีและความทุ่มเทของบรรดาฮีโร่แห่งทำเนียบขาวเพียงไม่กี่หยิบมือ

 

เหตุการณ์แพร่ระบาดของไข้หวัดสเปนในปี 1918 (source: Johns Hopkins University)

 

FIVE | Clairvoyance

หลังจากการเปลี่ยนจากจากยุคสมัยของประธานธิบดี George W. Bush ไปสู่ประธานธิบดี Barack Obama ทีมงานผู้อยู่เบื้องหลังแผนการรับมือกับโรคระบาดของทำเนียบขาวก็ได้แยกย้ายกันกลับไปทำหน้าที่เดิมของตัวเอง ยกเว้น Dr. Carter Mecher เพียงคนเดียวที่ยังคงอยู่ทำงานต่อและทำให้เขาได้ประสบพบเจอกับปัญหาความไม่ต่อเนื่องของนโยบาลรัฐบาลที่เปลี่ยนทีมงานกันแทบทั้งชุดทุกๆ 4 ถึง 8 ปีตามผลการเลือกตั้ง

แต่สิ่งที่สร้างความหวาดวิตกให้กับ Dr. Carter Mecher มากที่สุดก็คือวิธีการรับมือของรัฐบาล Barack Obama ต่อการแพร่ระบาดของเชื้อ “ไข้หวัดหมู” ที่เริ่มต้นขึ้นในประเทศเม็กซิโกก่อนที่จะลุกลามข้ามแดนมายังประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างรวดเร็วในปี 2009 โดยประเทศเม็กซิโกนั้นได้ออกนโยบาย social intervention ที่รวมไปถึงการปิดโรงเรียนตามแผนการที่ CDC ได้นำมาปรับใช้อย่างโดยดี แต่ในสหรัฐอเมริกาเอง CDC กลับเลือกที่จะอนุโลมและปล่อยให้รัฐแต่ละรัฐตัดสินใจกันเอาเองว่าควรจะกำหนดนโยบาย social intervention ในระดับที่มากน้อยเพียงใด เพียงเพราะว่าพวกเขายังสรุปไม่ได้ว่าเชื้อไวรัสไข้หวัดหมูนั้นมีอัตราการแพร่ระบาดและความอันตรายต่อชีวิตมากน้อยขนาดไหน ซึ่งรัฐส่วนใหญ่เองก็กลัวการถูกต่อต้านจากประชาชนจนไม่กล้าออกนโยบายอย่างเด็ดขาดในสถานการณ์ที่การแพร่ระบาดยังไม่ได้ลุกลามจนเห็นความเสียหายอย่างรุนแรงซักเท่าไหร่

การต่อสู้กับโรคระบาดตามแนวคิดของ Dr. Carter Mecher นั้นเป็นเหมือนการขับรถที่รถจะเลี้ยวช้ากว่าการหมุนพวงมาลัย 15 วินาที ผู้กำหนดนโยบายจะต้องคิดแผนล่วงหน้าและวางแผนการลดการปฏิสัมพันธ์ของผู้คนให้ได้อย่างรวดเร็วและเด็ดเดี่ยวที่สุด เพราะเชื้อไวรัสที่พวกเราเห็นตรงหน้านั้นเกิดจากการแพร่ระบาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเสมอ

ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้ว ไข้หวัดหมูปี 2009 ก็ไม่ได้ลุกลามรุนแรงมากมายและทำให้มีผู้เสียชีวิตเพียง 12,469 คน แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าอาวุธสายพันธุ์ล่าสุดที่ธรรมชาติสร้างขึ้นนี้เป็นเพียงเชื้อไวรัสที่ไม่ได้มีอานุภาพรุนแรงเท่าไหร่และการแพร่เชื้อไข้หวัดหมูสิ้นสุดลงก่อนที่วัคซีนป้องกันเชื้อจะผลิตแบบปริมาณมากได้นานถึงเกือบครึ่งปีซะอีก ประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ได้หลบกระสุนจริงได้ พวกเขาไม่ได้สร้างชุดเกราะทันเวลา แต่พวกเขาโดนกระสุนปืนอัดลมยิงใส่อย่างจังต่างหาก

 


 

PART II

 

SIX | The Red Phone

ตัวละครหลักคนสุดท้ายของหนังสือ The Premonition เล่มนี้ก็คือ Joe DeRisi นักชีวเคมีแห่ง DeRisi Lab ประจำมหาวิทยาลัย University of California, San Francisco ผู้สร้างชื่อเสียงอย่างมากในปี 2003 จากการเป็นผู้ค้นพบเชื้อไวรัสที่คร่าชีวิตชาวจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงไปกว่า 800 รายที่มีชื่อว่า severe acute respiratory syndrome หรือ SARS ด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่ที่เข้าตั้งชื่อว่า Virochip ที่เป็นแผ่นสไลด์แก้วที่มียีนส์ของไวรัสทั้งหมดที่โลกค้นพบแล้วบนพื้นผิวและสามารถนำเอายีนส์ไวรัสชนิดใหม่มาทาเทียบเพื่อดูว่าไวรัสชนิดนั้นมีความใกล้เคียงกับไวรัสชนิดเดิมอันไหนบ้างภายในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งต่างจากวิธีการตรวจเช็คไวรัสรูปแบบเดิมที่ต้องเริ่มจากการเพาะเชื้อให้มีจำนวนมากก่อนนำมาผ่านกระบวนการต่ออีกหลายวัน [การระบาดของ SARS นั้นไม่รุนแรงมากนักเพราะประเทศจีนออกนโยบาย social intervention ด้วยการปิดเมืองอย่างรวดเร็วและเชื้อโรค SARS นั้นรุนแรงมากจนผู้ที่สามารถแพร่เชื้อได้จะแสดงอาการป่วยอย่างเห็นได้ชัดจนไม่เกิดการลุกลามที่รุนแรงโดยไม่รู้ตัว]

โดยห้องแล็บของ Joe DeRisi นั้นมีโทรศัพท์ที่พวกเขาเรียกกันว่า “The Red Phone” ที่มักจะมีผู้คนที่ล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของแล็บอัจฉริยะแห่งนี้โทรเข้ามาขอความช่วยเหลืออย่างไม่ขาดสาย ไล่ไปตั้งแต่ การตรวจวินิจฉัยโรคที่แพทย์คนอื่นไม่สามารถวินิจฉัยได้ ไปจนถึง การตามล่าไวรัสที่คร่าชีวิตงูจากทั้วโลก ซึ่ง DeRisi Lab นั้นมีความชำนาญอย่างมากในการใช้เทคโนโลยี genomics ผ่านเครื่อง genome sequencing ที่สามารถตรวจจับยีนส์ทั้งหมดของเซลล์ที่ต้องการตรวจสอบได้อย่างรวดเร็วเพื่อเทียบกับยีนส์ปกติเพื่อมองหาสิ่งแปลกปลอมที่นำไปสู่การรักษาที่ตรงจุด ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่คุณยายคนหนึ่งเสียชีวิตจากภาวะสมองตายโดยไม่ทราบสาเหตุทั้งๆที่แพทย์ต่างให้ยาราคาแพงมูลค่ารวมกันเกินกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง DeRisi Lab ก็สามารถแยกยีนส์ทั้งหมดของคุณยายผู้เสียชีวิตและค้นพบยีนส์ของเชื้ออามีบาอย่างรวดเร็ว นอกจากนั้น Joe DeRisi ยังทำการทดลองฆ่าเชื้ออามีบาจนพบกับยาสามัญชนิดหนึ่งที่ใช้ได้ผลและนำไปสู่วิธีการรักษาเชื้ออามีบาอย่างมีประสิทธิภาพ

ต่อมา Joe DeRisi ก็ยังได้รับการทาบทามจาก Priscilla Chan ภรรยาของ Mark Zuckerberg ให้มารับหน้าที่ดูแล Chan Zuckerberg Biohub ที่ร่วมมือกับ The Gates Foundation ในการวางโครงข่ายตรวจจับเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ในประเทศต่างๆทั่วโลก แต่ก่อนที่พวกเขาจะทำภารกิจสำเร็จตามคาดหวังภายในปี 2022 เหตุการณ์ที่ Joe DeRisi ไม่ได้คาดคิดก็เริ่มเปิดเผยตัวตนระหว่างที่เขากำลังเดินทางกลับบ้านจากภารกิจติดตั้งระบบ ณ ศูนย์ตรวจสอบเชื้อโรคที่กรุงพนมเปญ เขาก็ต้องตะลึงกับความเข้มงวดของกระบวนการตรวจเชื้อของเจ้าหน้าที่อย่างไม่ทราบสาเหตุระหว่างการเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินกวางตุ้ง วันนั้นคือวันที่ 10 มกราคม 2020 และโลกก็กำลังจะเผชิญกับวิกฤติการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 100 ปี

 

Joe DeRisi (source: UC San Francisco)

 

SEVEN | The Redneck Epidemiologist

หลังจากการสิ้นสุดลงของรัฐบาลของประธานธิบดี Barack Obama สมัยแรก Dr. Carter Mecher ก็ได้ย้ายออกจากทำเนียบขาวกลับเข้ามาทำงานในฐานะ senior medical advisor ให้กับเครือโรงพยาบาลทหารผ่านศึกอีกครั้ง ซึ่งเขาเองก็ได้ใช้เวลาว่างในการสร้างเครือข่ายนักระบาดวิทยามือสมัครเล่นของเหล่าแพทย์และข้าราชการที่รวมตัวกันเป็นครั้งคราวทุกครั้งที่มีข่าวการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งทีมงานกลุ่มนี้เองที่กำลังจะมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการต่อกรกับ COVID-19 ในประเทศสหรัฐอเมริกา

ณ ช่วงต้นเดือนมกราคม 2020 หลังจากที่ประเทศจีนได้ออกมาประกาศให้โลกได้รับรู้ถึงการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ณ เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ทีมนักระบาดวิทยาสมัครเล่นกลุ่มนี้ก็ได้เล็งเห็นสัญญาณเตือนมากมายที่รัฐบาลสหรัฐและ CDC ไม่ได้สังเกต จากการประกาศพบผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้นอกประเทศจีนครั้งแรกในไทยและญี่ปุ่น ทั้งๆที่ทางการจีนแถลงข่าวว่ามีการติดเชื้อเกิดขึ้นจริงในประเทศแค่ 62 ราย ซึ่งโอกาสความน่าจะเป็นที่ในจีนจะมีผู้ติดเชื้อไม่ถึง 100 คนแต่ดันมีคนจีนติดเชื้อนอกประเทศแล้วอย่างน้อย 2 คนนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย จนทำให้พวกเขาคาดการณ์ว่าชาวเมืองอู่ฮั่นไม่น้อยกว่า 3,000 คนนั้นได้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้เป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว !!

ซึ่งการค้นพบนี้ก็ทำให้ Dr. Carter Mecher ตั้งใจทุ่มเทลงทุนอ่านและใช้ Google แปลข่าวภาษาจีนต่างๆจำนวนมากจนค้นพบความผิดปกติมากมาย ตั้งแต่ การค้นพบว่ารัฐบาลจีนออกนโยบายปิดเมืองที่เข้มงวดมากกว่าความจำเป็นหากเชื้อไวรัสนั้นแพร่กระจายอย่างไม่รุนแรงตามที่พวกเขาประกาศพร้อมกับการระดมกองทัพมายังเมืองอู่ฮั่น การล็อกประตูกักขังให้ชาวเมืองอยู่อาศัยแต่ในบ้านห้ามออกไปได้และการลงทุนสร้างโรงพยาบาลสนามอย่างรวดเร็วหลายแห่ง รวมไปถึง การค้นพบว่าทางการจีนประกาศการติดเชื้อล่าช้ากว่าความเป็นจริงและการค้นพบว่ามีผู้ติดเชื้อจำนวนมากที่ไม่แสดงอาการป่วยแต่อย่างใด ทั้งหมดนี้ได้ทำให้ Dr. Carter Mecher เข้าใจแล้วว่าเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้มีความสามารถในการแพร่กระจายที่รุนแรงกว่าที่คนอื่นคาดคิดไว้มากและทางการจีนก็ไม่น่าจะควบคุมการระบาดได้อย่างอยู่หมัดเหมือนกับ SARS ในปี 2003

และแล้ว ณ วันที่ 21 มกราคม 2020 เหตุการณ์ที่ Dr. Carter Mecher กังวลก็ได้เกิดขึ้นจริงเมื่อทางการสหรัฐออกมายอมรับว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้เป็นรายแรกของประเทศซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ติดเชื้อจำนวนมากได้หลั่งไหลเข้ามาในสหรัฐอเมริกาโดยไม่ได้รับการตรวจเชื้ออย่างเหมาะสมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยถึงแม้ว่ารัฐบาลสหรัฐและ CDC จะยังคงนิ่งไม่ประกาศนโยบาย social intervention อย่างที่พวกเขาคาดหวัง ทีมนักระบาดวิทยามือสมัครเล่นของ Dr. Carter Mecher ก็รู้อย่างชัดแจ้งแล้วว่าการระบาดครั้งนี้จะรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมามากและทำให้ทีมงานแต่ละคนต่างก็พยายามใช้เส้นสายที่ตัวเองมีอยู่ทำทุกวิถีทางที่พวกเขาทำได้เพื่อบรรเทาภัยพิบัติที่กำลังก่อตัว อาทิ Dr. Richard Hatchett ที่ขณะนั้นรับหน้าที่ดูแลมูลนิธิ Coalition for Epidemic Preparedness Innovations ก็ได้ระดมทุนให้กับบริษัทผู้ผลิตวัคซีนรายใหม่จำนวนมากรวมไปถึงบริษัท mRNA เล็กๆชื่อ Moderna

แต่จุดพลิกผันสำคัญของทีมนักระบาดวิทยามือสมัครเล่นกลุ่มนี้ก็คือการได้มาพบกับ Dr. Charity Dean ที่ขณะนั้นทำหน้าที่เป็น assistant director ของสาธารณสุขแห่งรัฐ California ที่ซึ่งกำลังจะกลายมาเป็น “รัฐต้นแบบ” ที่นำเอานโยบาย social intervention ของ Dr. Carter Mecher และ Dr. Richard Hatchett มาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดในสหรัฐอเมริกาโดยไม่ต้องพึ่งรัฐบาลกลางของประธานธิบดี Donald Trump และ CDC ที่ยังคงมองว่าไวรัสสายพันธุ์นี้ไม่มีความอันตรายใดๆ

 

สถานการณ์ในช่วงเริ่มต้นของการแพร่ระบาดที่อู่ฮั่น (source: Financial Times)

 

EIGHT | In Mann Gulch

ในปี 1949 โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้น ณ ห้วยลึกกลางหุบเขาที่ชื่อ Mann Gulch เมื่อบรรดานักดับเพลิง 15 นายได้กระโดดร่มลงไปทำภารกิจดับไฟป่าที่พวกเขาคิดว่าเป็นเพียงไฟขนาดย่อม จนกระทั่ง ไฟป่าที่พวกเขามองไม่เห็นมาก่อนได้ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็วและพุ่งเป้ามาที่พวกเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว จนทำให้นักดับเพลิงเกือบทั้งหมดเสียชีวิตภายในระยะเวลาเพียงแค่ 11 นาที

เหตุการณ์ไฟป่าที่มองไม่เห็นและแพร่ลุกลามภายในระยะเวลาอันสั้นหลังจากการปรากฎกายขึ้นนั้นเปรียบได้ดั่งสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ โดย Dr. Charity Dean ผู้ซึ่งเป็นเบอร์สองของสาธารณสุขแห่งรัฐ California ก็ตระหนักถึงความอันตรายที่มากเกินกว่าคำประกาศของรัฐบาลจีนได้อย่างรวดเร็วไม่แพ้ Dr. Carter Mecher และก็ได้พยายามเตือนผู้อำนวยการสาธารณสุขซึ่งเป็นเจ้านายของเธอที่ตอบกลับเพียงแค่ให้เธอเลิกใช้คำว่า “pandemic” หรือ “การระบาดครั้งใหญ่” ที่เขามองว่าเป็นการสร้างความหวาดกลัวที่มากเกินกว่าเหตุและตัดขาดเธอออกจากการประชุมใหญ่ต่างๆที่รวมไปถึงการประชุมกับ CDC ที่ก็ยังไม่ยอมออกมายืนยันถึงภัยอันตรายของไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้แต่อย่างใด [CDC ไม่ยอมแม้กระทั่งให้สาธารณสุขของรัฐหรือโรงพยาบาลทั่วไปตรวจเชื้อของผู้ที่มีอาการสุ่มเสี่ยงเอง แต่ต้องส่งตัวอย่างมาให้ CDC ตรวจสอบทั้งหมด]

Dr. Charity Dean มองเห็นถึงความพินาศที่กำลังมาถึงได้ไม่ต่างจากนักดับเพลิงใน Mann Gulch แต่เธอดันไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจมากพอที่จะทำอะไรกับมันได้ จนกระทั่งวันหนึ่ง โอกาสของเธอก็มาถึงเมื่อหนึ่งในสมาชิกสมาคมของ Dr. Carter Mecher ได้หาตัวเธอจนเจอและเชิญเธอเข้าร่วมทีมนักระบาดวิทยามือสมัครเล่นนี้ได้สำเร็จ โดยพวกเขาเห็นตรงกันว่ามหาพิบัติครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นแล้วและมีเพียงแค่พวกเขาเท่านั้นที่กล้าลงมือจัดการกับไฟป่าที่ยังไม่มีคนอื่นมองเห็น

 

NINE | The L6

เมื่อเวลาผ่านไปสู่กลางเดือนกุมภาพันธ์ 2020 การนัดประชุมร่วมกันและการส่งอีเมล์ระหว่างกันของกลุ่มนักระบาดวิทยามือสมัครเล่นก็ได้สร้างฐานผู้ติดตามจำนวนมากที่บอกต่อกันปากต่อปากซึ่งรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวและหน่วยงานต่างๆของรัฐมากมายที่ต่างก็ต้องการรับฟังการวิเคราะห์ล่าสุดของ Dr. Carter Mecher ที่เต็มไปด้วยคำแนะนำที่หาจากที่อื่นไม่ได้ อาทิ การประเมินความร้ายแรงของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ที่ได้ชื่อเรียบร้อยแล้วว่า COVID-19 จากเหตุการณ์แพร่ระบาดในเรือ Diamond Princess ที่มีการเก็บสถิติการตรวจเจอเชื้อต่อวันและอาการของผู้ป่วยอย่างละเอียดซึ่งทำให้เขาประมาณอัตราการแพร่ระบาดของ COVID-19 ไว้ในระดับสูงที่จำนวนผู้ป่วยสามารถเพิ่มขึ้นได้ 3 เท่าใน 1 สัปดาห์และอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ประมาณ 0.5%

ผลการประเมินคร่าวๆของ Dr. Carter Mecher นั้นได้วาดภาพโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ได้อย่างน่ากลัวหากสหรัฐอเมริกาเลือกที่จะทำเป็นไม่สนใจรับมือกับการแพร่ระบาดครั้งนี้อย่างจริงจัง โดยหากสหรัฐอเมริกาพบผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 หนึ่งคน นั้นหมายความว่าจริงๆแล้วสหรัฐอาจมีผู้ป่วยแล้วมากถึง 1 / 0.5% = 200 คนเมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนที่ผู้ป่วยคนดังกล่าวจะเริ่มติดเชื้อและหมายความว่า ณ เวลาที่ผู้ป่วยคนนั้นเสียชีวิต สหรัฐจะมีผู้ป่วยแล้วถึง 200 x 3 x 3 = 1,800 คนและเติบโตขึ้นเป็น 16,200 คนในอีก 2 สัปดาห์ !! ซึ่งผลการวิเคราะห์ของ Dr. Carter Mecher ก็ได้เริ่มถูกคัดลอกนำไปเผยแพร่ให้กับสังคมสหรัฐอเมริกาในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด CDC ก็ยอมประกาศยอมรับถึงความรุนแรงของ COVID-19 ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ท่ามกลางแรงกดดันและคำด่าของประธานธิบดี Donald Trump ที่ยังคงยืนกรานไม่ยอมรับความจริง

เมื่อโอกาสมาถึง Dr. Charity Dean ก็ไม่รีรอคว้าจังหวะในการได้พูดถึงความรุนแรงของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่จะเกิดขึ้นมาในอนาคตและแนวทางที่ Dr. Carter Mecher และ Dr. Richard Hatchett ร่างแผนการรับมือไว้ตั้งแต่ปี 2007 ให้กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ California และทำให้ผู้ว่าการรัฐ Gavin Newsom แต่งตั้งเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญ พร้อมกับการดึงเอา data scientist ฝีมือดีมาช่วยกันพัฒนาโมเดลพยากรณ์ความรุนแรงของการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ในรัฐ California ที่ผลลัพธ์ของโมเดลทำให้ Gavin Newsom สั่งปิดเมืองห้ามทุกคนออกจากบ้านทั้งรัฐ California และออกนโยบาย social intervention ต่างๆในทันที เพื่อป้องกันไม่ให้จำนวนผู้ป่วยเติบโตแบบก้าวกระโดดและล้นทะลักเตียงในโรงพยาบาลทั้งหมดที่มี นอกจากนั้นแล้ว Dr. Charity Dean ก็ยังได้รับความไว้วางใจให้เขียนแผนการรับมือ COVID-19 อย่างเป็นระบบก่อนที่วัคซีนจะกระจายได้อย่างทั่วถึงอีกด้วย [ปลายทางของ COVID-19 นั้นไม่อยู่ที่การฉีดวัคซีนให้กับประชากรอย่างครอบคลุมหรือไม่ก็ต้องสร้าง herd immuniry (ภูมิคุ้มกันหมู่) ด้วยการยอมให้ประชากรประมาณ 2 ใน 3 ติดเชื้อทั้งหมดซึ่งก็คงสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงมาก]

ระบบสาธารณสุขของประเทศสหรัฐนั้นล้มเหลวในการป้องกันเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างสิ้นเชิงจากการตัดสินใจที่ล่าช้าของ CDC ที่ไม่ทันต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและการไม่ยอมรับผิดชอบใดๆของประธานธิบดีที่ปล่อยให้รัฐแต่ละรัฐแบกรับภาระด้วยตัวเองอย่างไม่มีมาตรฐานกลาง แต่ในทุกๆปัญหาของหน่วยงานราชการ ก็มักจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ถูกเรียกว่า “The L6” หรือคนที่อยู่ในลำดับบังคับบัญชาที่ต่ำกว่าผู้นำสูงสุดประมาณ 6 ขั้นผู้เข้าใจปัญหาหน้างานเหล่านั้นได้ดีกว่าใคร และก็เป็นโชคดีของรัฐ California ที่ The L6 คนนั้นก็คือ Dr. Charity Dean

 

เรือ Diamond Princess ที่จอดอยู่ริมฝั่งประเทศญี่ปุ่น (source: New York Times)

 


 

PART III

 

TEN | The Bug in the System

ในต้นเดือนมีนาคม 2020 โทรศัพท์ The Red Phone ของ Joe DeRisi ก็ดังขึ้นจากผู้ว่าการรัฐ Gavin Newsom ที่ติดต่อไปเพื่อขอความเห็นเชิงวิชาการและความช่วยเหลือที่ Chan Zuckerberg Biohub สามารถสนับสนุนรัฐ California ได้ ซึ่ง Joe DeRisi ก็ตอบทันทีว่าสิ่งที่พวกเขาต้องทำอันดับแรกเลยก็คือการ “ตรวจ” หาเชื้อ COVID-19 ให้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด ซึ่ง ณ ตอนนั้น การตรวจเชื้อไวรัส COVID-19 นั้นต้องทำผ่านบริษัทยักษ์ใหญ่เพียงสองแห่งที่แทบจะผูกขาดตลาดทั้งหมดที่คิดค่าตรวจแพงถึง 160 ดอลลาร์ต่อเคสและใช้เวลานานถึง 10 วัน !!

โดย Joe DeRisi และแพทย์อาสาสมัครจำนวนมากต่างเร่งมือในการเปลี่ยน Chan Zuckerberg Biohub ให้กลายมาเป็นแล็บตรวจเชื้อ COVID-19 ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดได้สำเร็จภายในระยะเวลาเพียงแค่ 8 วันโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ แต่พวกเขาก็ต้องเผชิญกับปัญหาของระบบสาธารณสุขของสหรัฐอันไร้ซึ่งประสิทธิภาพและเหตุผลมากมาย อาทิ ระบบของโรงพยาบาลรัฐที่ไม่สามารถส่งเคสไปตรวจกับแล็บที่ไม่คิดค่าบริการได้ ไปจนถึง การขาดแคลนชุดตรวจตัวอย่างที่เยื่อบุโพรงจมูกที่องค์กรของแต่ละรัฐและภาคเอกชนต่างแย่งกันนำเข้าจากประเทศจีนโดยไม่มีใครเป็นศูนย์กลาง แต่ท้ายที่สุด นักธุรกิจใจกุศลและอาสาสมัครก็ช่วยกันทำให้ทุกอย่างพร้อมและ Chan Zuckerberg Biohub ก็ดำเนินการตรวจเชื้อไวรัสให้ชาว California จำนวนมากได้สำเร็จ

แต่ Joe DeRisi ก็ยังไม่หยุดแค่นั้น เขาและทีมงานนักวิทยาศาสตร์ได้นำเอาเชื้อไวรัส COVID-19 ของผู้ที่ติดเชื้อจริงไปทำการ genome sequencing เพื่อศึกษายีนส์ของเชื้อที่ค่อยกลายพันธุ์ไปทีละนิดเมื่อถูกถ่ายทอดผ่านคนสู่คนจนทำให้เขาสามารถเชื่อมโยงเชื้อไวรัสของผู้ป่วยแต่ละคนเข้าหากันได้และทำให้เขาสามารถตรวจสอบประวัติการแพร่ระบาดของเชื้อจากคนสู่คนได้อย่างสมบูรณ์แบบจากยีนส์ที่ค่อยๆกลายพันธุ์ไปทีละนิดๆ ซึ่งการตรวจเชื้อ COVID-19 ที่ลงลึกไปถึงระดับยีนส์เลยนั้นมีคุณประโยชน์อย่างมากในการวิเคราะห์หาแหล่งที่มาของเชื้อ ยกตัวอย่างเช่น กรณีการค้นพบพนักงานของโรงงานแห่งหนึ่งติดเชื้อพร้อมกันสองคน ทุกคนก็คงคิดว่าการแพร่เชื้อน่าจะเกิดจากภายในโรงงานแห่งนั้น แต่ผล genome sequencing ระบุอย่างชัดเจนว่ายีนส์ของไวรัสที่ติดพนักงานแต่ละคนนั้นไม่ได้ใกล้เคียงกันเลยและแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการแพร่เชื้อนั้นเกิดขึ้นนอกโรงงาน โรงงานแห่งนั้นก็ไม่จำเป็นต้องปิดตัวเพื่อกักกันเชื้อโดยไม่จำเป็น นอกจากนั้น การตรวจยีนส์ของไวรัสอย่างสม่ำเสมอยังช่วยให้ระบบสาธารณสุขสามารถมอนิเตอร์การกลายพันธุ์ของเชื้อได้อย่างทันท่วงที

แต่ก็เป็นอีกครั้งที่พัฒนาการทางการแพทย์ที่มีประโยชน์อย่างมากกลับไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและ CDC ซึ่งทำให้สหรัฐอเมริกามีผู้ที่ได้รับการตรวจแบบ genome sequencing เพียงแค่ไม่ถึง 1% ของผู้ติดเชื้อเท่านั้นเองภายใน 1 ปี [ตรงกันข้ามกับสหราชอาณาจักรที่มีการตรวจยีนส์ของเชื้อ COVID-19 มากกว่า 10% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด]

 

ELEVEN | Plastic Flowers

ต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ระบบการบริหารจัดการการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ของประเทศสหรัฐอเมริกาได้กลายมาเป็นกรณีตัวอย่างของความล้มเหลวของภาครัฐนั้นสามารถสืบย้อนกลับไปในปี 1976 เมื่อ David Sencer ผู้อำนวยการ CDC ในสมัยนั้นทราบถึงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดหมูสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในค่ายทหาร Fort Dix ในรัฐ New Jersey จนทำให้มีทหารติดเชื้อกว่า 500 รายและเสียชีวิต 1 ราย เชื้อไวรัสชนิดนี้เริ่มมีพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกับไวรัสในปี 1918 ที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรง จนทำให้ David Sencor ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในการเร่งพัฒนาและฉีดวัคซีนให้กับประชากรจำนวนมากภายในครึ่งปีก่อนที่เชื้อไวรัสที่ยังไม่มีใครรู้ว่าฤทธิ์เดชแรงแค่ไหนจะกลับมาระบาดในช่วงหน้าหนาวอีกครั้ง

แต่ด้วยความที่ระบบสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกานั้นไม่มีศูนย์กลางและต้องพึ่งการทำงานของเจ้าหน้าในแต่ละรัฐจนทำให้การฉีดวัคซีนล่าช้าและเริ่มมีผู้เสียชีวิตจากวัคซีนจำนวนหนึ่งจากผลข้างเคียงต่างๆจนทำให้ประชาชนจำนวนมากต่อต้านการฉีดวัคซีน มากไปกว่านั้น เชื้อไวรัสไข้หวัดหมูก็ได้หยุดการแพร่ระบาดไปโดยไร้สาเหตุ จนทำให้สุดท้ายประธานธิบดี Gerald Ford ก็ได้สั่งปลด David Sencer ที่กลายมาเป็นแพะรับบาปไปในที่สุด ทั้งๆที่หากเชื้อไวรัสไข้หวัดหมูในปีนั้นมีความรุนแรงเหมือน COVID-19 ในปัจจุบัน David Sencer จะกลายมาเป็นฮีโร่ภายในพริบตา ต่อมา ตำแหน่งผู้อำนวยการ CDC ก็ถูกนำมาอยู่ภายใต้ประธานธิบดีและทำให้ CDC กลายเป็นองค์กรการเมืองที่ไม่กล้าตัดสินใจอะไรอย่างเด็ดขาดดั่งเช่นในปัจจุบัน

การป้องกันการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ที่มีประสิทธิภาพที่สุดนั้นต้องทำก่อนที่เชื้อจะแพร่กระจายเป็นวงกว้าง แต่หากคุณถูกสั่งให้ห้ามออกจากบ้านตั้งแต่ตอนที่มีผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศเพียงแค่ไม่กี่สิบคนและเชื้อไวรัสถูกหยุดการแพร่ระบาดได้สำเร็จ คุณก็คงไม่กล่าวเทิดทูนคนออกนโยบายปิดเมืองที่คุณก็คงคิดว่ามันเป็นการกระทำที่มากเกินกว่าเหตุ ตรงกันข้าม ถ้าคุณเริ่มตระหนักถึงความรุนแรงของการแพร่ระบาด เมื่อนั้นนโยบาย social intervention ต่างๆก็ไม่สามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดได้ในฉับพลันอีกต่อไปแล้วและคุณก็คงรุมด่าคนออกมาตรการที่ล่าช้าเกินไปเช่นเคย การยับยั้งการแพร่ระบาดที่มีประสิทธิภาพจึงต้องอาศัยผู้นำที่มีความกล้าในการตัดสินใจอย่างรวดเร็วเด็ดขาดและระบบสังคมที่ไม่ทำโทษการตัดสินใจเหล่านั้น

หวังว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 จะเปลี่ยนความคิดของพวกเราทุกคนและทำให้มนุษยชาติมีภูมิต้านทานในการรับมือกับการแพร่ระบาดครั้งถัดไปที่แข็งแกร่งกว่าเดิม

 

ประธานธิบดี Gerald Ford ฉีดวัคซีนกันไข้หวัดหมู (source: Wall Street Journal)

 

EPILOGUE | The Sin of Omission

ภายใน 3 เดือนแรกของการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ Dr. Charity Dean ก็ได้มองเห็นถึงความล้มเหลวของระบบสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกาได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการเล่นการเมืองของเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ต้องการรักษาหน้าของตัวเองและระบบหลังบ้านของระบอบสาธารณสุขทั้งประเทศที่เชื่องช้าและไร้ซึ่งประสิทธิภาพใดๆ ถึงแม้ว่านโยบาย social intervention จะเริ่มถูกนำมาใช้ในหลายๆรัฐแล้ว แต่ระบบการบริหารจัดการที่นำโดยประธานธิบดีผู้ที่พยายามปกปิดหายนะที่เกิดขึ้นเพื่อเหตุผลทางการเมืองก็ทำให้เธอตัดสินใจลาออกจากการรับราชการไปในที่สุด

Dr. Charity Dean ตัดสินใจผันตัวเองมาแก้ปัญหาทางสาธารณสุขด้วยวิธีคิดแบบทุนนิยมแทนและตัดสินใจเปิดบริษัทเอกชนที่มีชื่อว่า The Public Health Company โดยได้ทั้ง Joe DeRisi กับ Dr. Carter Mecher มารับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาบริษัทและสามารถระดมทุนได้หลายล้านดอลลาร์จากบรรดานักลงทุนที่เห็นพรสวรรค์และความทุ่มเทของเธอในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แตกต่างจากการต่อสู้อันแสนยากลำบากในระบบราชการเพื่อสิ่งที่รัฐควรจะต้องเร่งลงมือทำให้เร็วที่สุดอันไร้ผล บริษัทเอกชนของเธอที่ตั้งขึ้นเพื่อให้คำปรึกษาบริษัทเอกชนอื่นๆในการรับมือกับโรคระบาดโดยมีวัตถุประสงค์แอบแฝงในการช่วยเหลือโลกก็ได้รับการสนับสนุนและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

สุดท้าย Dr. Charity Dean ก็ได้เรียนรู้ว่าการแก้ปัญหาของมนุษยชาติที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงนั้นไม่สามารถหนีพ้นจากคำว่า “กำไร” ในโลกยุคทุนนิยมที่รัฐบาลอ่อนแอลงไปในทุกวันได้อีกต่อไป




<<< ติดตาม [สรุปหนังสือ] เล่มอื่นๆต่อได้ทางนี้เลยครับ [CLICK] >>>

 

<<< ที่สำคัญ อย่าลืมกดไลค์ Panasm’s Facebook Page เพื่อติดตามอัพเดทใหม่ๆของผมนะครับ [CLICK] >>>

 

<<< ปิดท้าย สิ่งที่ผมทำสรุปมานั้นเป็นเพียงแค่เนื้อหาส่วนที่ผมสนใจที่สุดของหนังสือเล่มนี้ สำหรับเพื่อนๆที่ถูกใจสรุปของหนังสือเล่มนี้ อย่าลืมซื้อหนังสือเล่มเต็มและอุดหนุนผู้เขียนกันด้วยนะครับ ขอบคุณที่ติดตามครับผม >>>

 

Be the first to comment

Leave a Reply

Your email address will not be published.


*