News Ticker

[สรุปหนังสือ] Trust and Inspire : How Truly Great Leaders Unleash Greatness in Others

 

 

[สรุปหนังสือ] Trust and Inspire : How Truly Great Leaders Unleash Greatness in Others (2022)

by Stephen M.R. Covey, David Kasperson, McKinlee Covey & Gary T. Judd

 

“The difference between what we are doing and what we are capable of doing would solve most of the world’s problems.” – Mahatma Gandhi

 

โลกของเราได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่สไตล์ความเป็น “ผู้นำ” ของพวกเราส่วนใหญ่นั้นยังคงย่ำอยู่กับที่มาตั้งแต่ยุคสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ผู้นำองค์กรมักยึดหลักการ “Command & Control” ที่อาศัยการสั่งงานและการควบคุมตามลำดับขั้นที่มีระเบียบแบบแผนอันเคร่งครัดที่เปรียบพนักงานเป็นดั่งทรัพยากรที่ต้องทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็วที่สุดโดยไม่สนใจว่าพวกเขาจะมีความรู้สึกหรือศักยภาพอะไรซ่อนเร้นอยู่… ซึ่งแน่นอนว่าวิถีแห่งผู้นำแบบเบ็ดเสร็จนี้ไม่สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสมรภูมิธุรกิจที่ต้องอาศัยทั้งนวัตกรรมและความคล่องตัวมากยิ่งขึ้นและการมีทางเลือกอันมากมายมหาศาลของกำลังพลวัยทำงานที่ก็ต้องการทำงานให้กับบริษัทที่เห็นคุณค่าของพวกเขาได้อีกต่อไป

Trust & Inspire คือ คัมภีร์เล่มล่าสุดของผู้เขียน Stephen M. R. Covey ที่ว่าด้วยสไตล์ของผู้นำในยุคสมัยใหม่อย่าง “Trust & Inspire” ที่มีเป้าหมายในการปลดล็อก “ศักยภาพ” ของเพื่อนมนุษย์ที่ต่างก็มีขีดความสามารถอันยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ในตัวเองผ่านการสร้าง “ความเชื่อใจ” ที่ให้อำนาจพวกเขาในการใช้ศักยภาพในการทำสิ่งที่ถูกต้องได้อย่างเต็มที่และ “การสร้างแรงบันดาลใจ” ที่ช่วยเติมไฟและเป้าประสงค์ของชีวิตให้ลุกโชติช่วงเพื่อให้พวกเขาสร้างสิ่งที่มีความหมาย… ขอเชิญทุกท่านที่ต้องการสร้างความเป็นผู้นำที่เหมาะสมกับยุคสมัยใหม่อ่านสรุปหนังสือเล่มนี้ได้เลยครับ

 


 

Part One – The Future of Leadership : From Command & Control to Trust & Inspire

 

Chapter 1 : The World Has Changed, Our Style of Leadership Has Not

โลกในยุคปัจจุบันนั้นได้แปรเปลี่ยนไปจากโลกในยุคสมัยก่อนจากการขับเคลื่อนของคลื่นของความเปลี่ยนแปลงทั้ง 5 ประการที่ทำให้วิถีของความเป็นผู้นำแบบ Command & Control ที่พอใช้การได้บ้างในอดีตนั้นไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป อันได้แก่

  • The Nature of the World Has Changed : ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลองค์ความรู้อันมหาศาลของมนุษย์นั้นสร้างทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่มนุษย์และองค์กรธุรกิจต้องปรับตัวให้ทันอยู่เสมอ
  • The Nature of Work Has Changed : การทำงานในโลกที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงและโอกาสใหม่ๆนั้นต้องอาศัยทักษะการทำงานร่วมกัน ความคิดสร้างสรรค์และการสร้างนวัตกรรมที่อาศัยความคล่องตัวและความยืดหยุ่นที่สูงขึ้น
  • The Nature of the Workplace Has Changed : วิถีการทำงานในโลกยุคปัจจุบันนั้นไม่จำเป็นต้องอยู่รวมกันในที่ทำงานแห่งเดียวกันอีกต่อไปและการทำงานร่วมกันเป็นทีมสามารถทำทางออนไลน์ระหว่างสมาชิกที่อยู่คนละประเทศได้
  • The Nature of the Workforce Changed : มนุษย์วัยทำงานในองค์กรมีความหลากหลายมากขึ้นจากส่วนผสมของ Gen Y และ Gen Z ที่ตามหาทั้งงานที่มีความหมายและโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของตัวเองจากผู้นำที่ดีมากขึ้น
  • The Nature of the Choice Changed : ทางเลือกของพนักงานในการเลือกบริษัทที่อยากทำงานด้วยก็มีมากยิ่งขึ้นจากการเข้าถึงกันของตลาดแรงงานผ่านโลกอินเตอร์เน็ตโดยเฉพาะบรรดาคนเก่งที่มีโอกาสมากมายกว่าแต่ก่อนมาก

ดังนั้น องค์กรที่จะประสบความสำเร็จในโลกยุคปัจจุบันจึงต้องการวิถีของความเป็นผู้นำรูปแบบใหม่อย่าง Trust & Inspire เพื่อทำพันธกิจที่สำคัญที่สุดของยุค 2 ประการให้สำเร็จ อันได้แก่

  • Create a High-Trust Culture Team : การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและแรงบันดาลใจซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างมากในการดึงดูดพนักงานใหม่ที่มีความสามารถและรักษาคนเก่งให้อยู่กับองค์กรไปได้นานๆ
  • Collaborate and Innovate Successfully : การสร้างวิถีการทำงานที่เต็มไปด้วยการร่วมมือกันของพนักงานเพื่อสรรสร้างนวัตกรรมใหม่ๆเพื่อให้องค์กรยังคงรักษาคุณค่าและความสามารถที่จะดำรงอยู่ในสมรภูมิธุรกิจแห่งอนาคตได้

เนื้อหาในส่วนถัดไปของหนังสือเล่มนี้จะทำการขยายความว่าวิถีผู้นำแบบ Trust & Inspire นั้นมีหลักการอะไรบ้าง แต่บทนี้ขอทิ้งท้ายให้เห็นความแตกต่างสำคัญระหว่างวิธีคิดแบบ Command & Control กับ Trust & Inspire ไว้ 2 ประการ ได้แก่

  • Managing versus Leading : วิธีคิดแบบ Command & Control มักมองพนักงานเป็นทรัพยากรที่ไม่แตกต่างจากสิ่งของที่ต้องบริหารจัดการเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่สูงที่สุด ในขณะที่วิธีคิดแบบ Trust & Inspire มองพนักงานเป็นมนุษย์และมีเป้าหมายสำคัญในการดึงศักยภาพของพนักงานออกมาให้ได้มากที่สุด เพราะมนุษย์ไม่ต้องการถูกจัดการ แต่พวกเราต้องการผู้นำที่ดี
  • Motivating versus Inspiring : วิธีคิดแบบ Command & Control มักเลือกกระตุ้นพนักงานด้วยผลประโยชน์และบทลงโทษที่เป็นแรงจูงใจภายนอกที่มักได้ผลแค่ชั่วคราวจนกระทั่งแครอทและไม้เรียวเหล่านั้นหมดไป ในขณะที่วิธีคิดแบบ Trust & Inspire มักใช้การสร้างแรงบันดาลใจผ่านแรงจูงใจภายในตามหลักความต้องการของ Maslow อาทิ ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีมหรือความรู้สึกที่ได้สร้างสิ่งที่มีความหมาย ซึ่งสร้างแรงขับเคลื่อนที่เข้มข้นและยั่งยืนกว่ามาก

 

Chapter 2 : The Increasing Irrelevance of Command & Control

เรื่องราวแห่งความสำเร็จครั้งใหม่อันน่าเหลือเชื่อของ Microsoft ที่ก่อนหน้านั้นต้องเผชิญหน้ากับความตกต่ำอย่างรุนแรงจากวัฒนธรรมองค์กรแบบ Command & Control ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งกลับสามารถพลิกฟื้นขึ้นมาได้อีกครั้งในปี 2014 ด้วยฝีมือของ CEO คนใหม่อย่าง Satya Nadella ผู้เชื่อมั่นในการสร้างองค์กรที่สามารถดึงศักยภาพของคนเก่งออกมาได้มากที่สุดผ่านการให้ความเชื่อใจ การใช้ “empathy” และสนับสนุนการทำงานร่วมกันเพื่อสรรสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ จนทำให้ Microsoft สามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ อาทิ Microsoft Azure และผลักดันมูลค่าบริษัทจาก 300 ล้านดอลลาร์ไปสู่ระดับ 2 พันล้านดอลลาร์ได้สำเร็จ

วิธีคิดแบบ Command & Control นั้นถือเป็นวิธีคิดที่แทบทุกคนในโลกต่างเห็นตรงกันว่าเป็นวิธีคิดที่ล้าสมัยและสร้างปัญหามากมาย อาทิ การเป็นอุปสรรคต่อนวัตกรรมที่ความกลัวมักทำให้พนักงานไม่กล้าเสี่ยงลองผิดลองถูกและการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ไร้ความสุขจากการทำงานที่ถูกปกครองโดยไม่มีความเชื่อใจกันจนไม่สามารถหาคนเก่งมาทำงานในองค์กรได้ แต่วิธีคิดแบบ Command & Control นั้นก็ยังคงอยู่อย่างแพร่หลายในปัจจุบันจาก 3 อุปสรรคเชิงจิตวิทยา ดังต่อไปนี้

  • “Fish Discover Water Last” : มนุษย์ส่วนใหญ่เคยชินกับการทำงานในวัฒธรรมแบบ Command & Control จนมองว่าเป็นเรื่องปกติที่จะต้องทนทุกข์ทรมานในระบบที่ไร้ประสิทธิผลนี้โดยไม่คิดว่าจริงๆแล้วยังมีทางเลือกอื่นๆอยู่ ไม่ต่างกันกับปลาในทะเลที่ว่ายอยู่ในน้ำมาตั้งแต่เกิดจนไม่คิดสนใจว่าสิ่งที่ตัวเองอาศัยอยู่นั้นคือน้ำ
  • To Know and Not to Do is Not to Know : ผู้นำจำนวนมากต่างก็รู้ถึงข้อเสียของระบบ Command & Control กันอย่างแพร่หลายแต่พวกเขากลับไม่มีความตั้งใจในการลงมือทำเพื่อเปลี่ยนแปลงสไตล์ความเป็นผู้นำจากสิ่งที่เขารู้
  • Inaccurate Paradigms Can Live on Indefinitely : วิธีคิดแบบ Command & Control ที่มักมีประสิทธิภาพในระยะสั้นนั้นฝังรากลึกอยู่ในสัญชาตญาณของมนุษย์เปรียบได้กับภาษาแม่ของพวกเราแต่ละคน การเปลี่ยนวิธีคิดในรูปแบบใหม่จึงเป็นเรื่องที่ฝืนธรรมชาติและต้องอาศัยความตั้งใจที่แรงกล้า

วิธีคิดแบบ Command & Control นั้นยังมีการวิวัฒนาการจากรูปแบบการปกครองแบบเบ็ดเสร็จเหมือนกับแม่ทัพทหารในอดีตมาเป็นการเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์มากขึ้นอยู่บ้าง อาทิ การใช้เครื่องมือสร้างแรงจูงใจ การเพิ่มสวัสดิการ ไปจนถึง การลงทุนพัฒนาศักยภาพของพนักงาน แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อประโยชน์ในการทำผลตอบแทนของบริษัทให้ได้มากที่สุด เปรียบเสมือนการเปิดเพลงให้วัวฟังโดยมีเป้าหมายในการทำให้วัวผ่อนคลายและให้นมมากขึ้นไม่ใช่ทำให้วัวเหล่านั้นมีชีวิตที่มีความสุขอย่างแท้จริง

 

Chapter 3 : Style is Getting in the Way of Intent

ผมเชื่อว่าผู้นำจำนวนมากต่างมีความหวังดีต่อพนักงานในทีมของตัวเองอยู่เป็นแน่แท้ แต่ผมก็เชื่อเหมือนกันว่ามีพนักงานจำนวนมากไม่ได้มองว่าผู้นำเหล่านั้นหวังดีต่อตนเอง… ช่องว่างทางความคิดของมนุษย์นั้นถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นจากการที่ตัวเราเองมักประเมินตัวเองจาก “ความตั้งใจ (intent)” แต่มักเลือกประเมินผู้อื่นจาก “พฤติกรรม (behavior)” ที่อาจไม่ได้สอดคล้องกับความตั้งใจของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา

ผู้นำยุคใหม่จึงต้องมีทั้งความตั้งใจในการสร้างองค์กรแบบ Trust & Inspire และต้องมีสไตล์ของความเป็นผู้นำที่ถ่ายทอดความตั้งใจเหล่านั้นออกมาเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริงได้ ผ่านหลักการและเทคนิคในบทถัดๆไปของหนังสือเล่มนี้

 


 

Part Two – Becoming a Trust & Inspire Leader : The Fundamental Beliefs and 3 Stewardships

 

Chapter 4 : The Fundamental Beliefs of a Trust & Inspire Leader

จุดเริ่มต้นของการเป็นผู้นำแบบ Trust & Inspire อย่างสมบูรณ์นั้นต้องเริ่มต้นจากการมีความเชื่อพื้นฐานสำคัญ 5 ประการ อันได้แก่

  • People Have Greatness Inside Them : ความเชื่อที่ว่ามนุษย์ทุกคนนั้นมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่และผู้นำต้องมีหน้าที่ในการมองเห็น สื่อสาร พัฒนาและปลดปล่อยศักยภาพนั้นออกมา
  • People are Whole People : ความเชื่อที่ว่ามนุษย์ไม่ใช่สินทรัพย์หรือทรัพยากรแต่เป็นมนุษย์แบบสมบูรณ์แบบที่มีทั้งร่างกาย หัวใจ ความคิดและจิตวิญญาณที่ผู้นำต้องมีหน้าในการสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาใช้เวลาได้อย่างมีความหมาย
  • There is Enough for Everyone : ความเชื่อในความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรที่นำมาสู่การดูแลและความร่วมมือระหว่างกันซึ่งแตกต่างจากความเชื่อที่ว่าทรัพยากรนั้นมีอยู่จำกัดและทุกคนต้องแก่งแย่งชิงดีกัน
  • Leadership is Stewardship : ความเชื่อที่ว่าผู้นำนั้นได้รับมอบหมายความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ในการดูแลเอาใจใส่ต่อมนุษย์ทุกคนในองค์กรโดยไม่เอาผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง อ่านรายละเอียดได้ในบทถัดๆไป
  • Enduring Influence is Created from the Inside Out : ความเชื่อที่ว่าอิทธิพลของความเป็นผู้นำนั้นจะดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนได้ต้องเกิดขึ้นจากภายในตัวของผู้นำก่อนและผู้นำต้องแสดงพฤติกรรมให้เห็นเป็นตัวอย่างก่อนผู้อื่น

 

 

Chapter 5 : The 1st Stewardship : Modeling, or Who You Are

ความรับผิดชอบที่ 1 ของผู้นำแบบ Trust & Inspire ก็คือ “การเป็นต้นแบบที่ดี” ที่ผู้นำจะต้องแสดงให้เห็นถึงคุณค่าแห่งความเชื่อใจและการสร้างแรงบันดาลใจให้กับสมาชิกทุกคนในองค์กรได้รับรู้และเรียนรู้ก่อนที่จะเริ่มพูดถึงและคาดหวังให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม… เพราะมนุษย์มักประพฤติตัวตามพฤติกรรมของผู้นำไม่ใช่สิ่งที่เขาพูดแต่ไม่ได้ทำ ไม่ต่างจากลูกๆที่มักเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อแม่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสั่ง… โดยการเป็นต้นแบบที่ดีนั้นมีหัวใจสำคัญ 2 ประการ ได้แก่

  • Creditability : ความน่าเชื่อถือที่เกิดขึ้นจากทั้งตัวตนและการแสดงออกของผู้นำควบคู่ไปกับขีดความสามารถของผู้นำที่ต้องดีทั้งหมดถึงจะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้
  • Moral Authority : การได้อำนาจความเป็นผู้นำอย่างเต็มใจจากสมาชิกในองค์กร ไม่ใช่เพียงแค่การใช้อำนาจความเป็นผู้นำจากตำแหน่งที่ได้รับ

โดยแบบอย่างที่ดีของผู้นำแบบ Trust & Inspiring นั้นมีองค์ประกอบสำคัญ 6 ประการซึ่งผู้เขียนนำมาจับเป็นคู่กันทั้งหมด 3 คู่ ดังต่อไปนี้

  • Humility and Courage : ผู้นำแบบ Trust & Inspire ต้องมี “ความถ่อมตน” ในการยึดผลประโยชน์ของทุกคนเหนือตัวเองและก็ต้องมี “ความกล้าหาญ” ในการทำสิ่งที่ถูกต้องต่อส่วนรวมอยู่เสมอ
  • Authenticity and Vulnerability : ผู้นำแบบ Trust & Inspire ต้องมี “ความเป็นเนื้อแท้” ที่ความคิด คำพูดและการกระทำจะต้องสอดคล้องกันอย่างแท้จริงและก็ต้องมีความสามารถใน “การยอมรับความอ่อนแอ” ของตัวเองเพื่อนำมาปรับปรุงพัฒนาอย่างสม่ำเสมอเป็นตัวอย่าง ผู้นำที่ดียังต้องเปิดเผยเป้าประสงค์ของตัวเองให้ทุกคนรู้อย่างชัดเจน
  • Empathy and Performance : ผู้นำแบบ Trust & Inspire ต้องมี “ความเข้าอกเข้าใจ” ในแก่นความคิดและเป้าหมายในการกระทำของผู้อื่นและหวังดีในการเติบโตของพวกเขาผ่านการรับฟังอย่างตั้งใจ ในขณะเดียวกัน ผู้นำยังต้อง “สร้างผลงาน” ที่ยอดเยี่ยมจนเป็นที่ยอมรับได้เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือว่าวิถีความเป็นผู้นำนี้สามารถสร้างผลงานได้อย่างแท้จริง

 

Chapter 6 : The 2nd Stewardship : Trusting, or How You Lead

ความรับผิดชอบที่ 2 ของผู้นำแบบ Trust & Inspire ก็คือ “การให้ความเชื่อใจ” ที่นอกจากผู้นำต้องสร้าง “ความน่าเชื่อใจ (trustworthiness)” ให้กับตัวเองแล้ว ผู้นำยังต้อง “ส่งต่อความเชื่อใจ (trusting)” ให้กับผู้อื่นด้วยความคิดที่ว่าพวกเขาจะสามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่จากศักยภาพของตัวเองได้ จึงสามารถที่จะสร้าง “ความเชื่อใจ (trust)” ได้อย่างแท้จริง… เพราะมนุษย์เมื่อได้รับมอบความเชื่อใจแล้ว พวกเราก็มักที่จะอยากตอบสนองและส่งต่อความเชื่อใจเหล่านั้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสมกับที่ได้รับความเชื่อใจเหล่านั้นมา… โดยการส่งมอบความเชื่อใจนั้นมีกระบวนการสำคัญ 3 ประการ ดังต่อไปนี้

  • Clarify Expectations : การสื่อสาร “ความคาดหวัง” อย่างชัดเจนระหว่างกันเพื่อให้เกิดข้อตกลงและความเข้าใจที่ตรงกันถึงเป้าหมายที่ผู้นำคาดหวัง เพราะการมอบความเชื่อใจนั้นจำเป็นต้องกำหนดความคาดหวังและความรับผิดชอบที่ชัดเจน ไม่เช่นนั้นก็เปรียบเสมือนการให้ความเชื่อใจลอยๆแบบไร้ความรับผิดชอบ
  • Practice Accountability : การสร้าง “ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้” ที่เริ่มตั้งแต่ตัวของผู้นำเองก่อนผู้อื่นเพื่อมอบความรับผิดชอบให้กับผู้ที่ได้รับความเชื่อใจนั้นในการเป็นเจ้าของความคาดหวังที่ได้ตกลงกันไว้
  • Grow People : การใช้ประโยชน์จากการมอบความเชื่อใจในการ “เติบโตผู้อื่น” ที่ได้รับกำลังใจและความรับผิดชอบซึ่งมักผลักดันให้พวกเขาอยากทำผลงานให้ดีที่สุดและเรียนรู้พัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้คุ้มค่ากับความเชื่อใจที่ได้รับ

โดยผู้นำแบบ Trust & Inspire ที่มีประสิทธิภาพต้องมีความสามารถในการให้ “ความเชื่อใจอย่างชาญฉลาด (smart trust)” โดยให้เต็มที่แก่ผู้ที่มีความน่าเชื่อถือ (trustworthy) สูงที่สามารถใช้ “วิจารณญาณที่ดี (good judgment)” ในการตัดสินใจทำงานที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

Chapter 7 : The 3rd Stewardship : Inspiring, or Connecting to Why

ความรับผิดชอบที่ 3 ของผู้นำแบบ Trust & Inspire ก็คือ “การสร้างแรงบันดาลใจ” เพื่อให้ผู้ที่ได้รับแรงบันดาลใจลงมือทำสิ่งที่มีความหมายต่อพวกเขาอย่างสุดความสามารถ… ซึ่งผู้นำที่ทำตัวเป็นต้นแบบที่ดีและส่งผ่านความเชื่อใจให้กับผู้อื่นนั้นก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้อื่นได้แล้ว แต่ผู้นำยังสามารถสร้างแรงบันดาลใจอย่างตั้งใจผ่านกระบวนการสำคัญอีก 2 ประการ ได้แก่

  • Connect with People : ผู้นำต้องสามารถเชื่อมโยงผู้คนเข้าหากันได้ โดยเริ่มต้นจากการเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับ “why” หรือ “เป้าประสงค์” ในการใช้ชีวิตและการทำงานของตัวเอง ก่อนที่จะเริ่มเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับผู้อื่นผ่านการสร้างความสัมพันธ์แบบห่วงใย (caring) ในกันและกันอย่างแท้จริง ปิดท้ายด้วยการสร้างความเชื่อมโยงกันของสมาชิกในทีมผ่านการเชื้อเชิญให้ทุกคนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม (belonging) ที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง
  • Connect to Purpose : เมื่อสมาชิกรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ได้รับความห่วงใยและความเชื่อใจแล้ว ผู้นำยังตัองทำหน้าที่เชื่อมโยงให้พวกเขามองเห็นความสำคัญ (significance) ว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นไม่ใช่เพียงแค่การทำงานเพื่อหาเงินแต่ยังเป็นสิ่งที่มีความหมายและเป็นส่วนหนึ่งของคุณค่าที่ยิ่งใหญ่กว่าบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้ ไม่ต่างกับที่ภารโรงใน NASA เคยบอกกับประธานาธิบดี John F. Kennedy ว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งในการพาคนไปยังดวงจันทร์

 

Chapter 8 : Stewardship Agreements

เครื่องมือสำคัญที่ส่งเสริมให้ผู้นำแบบ Trust & Inspire สามารถสร้างแรงบันดาลใจ ความเชื่อใจและความสัมพันธ์ที่ดีไปพร้อมๆกับการสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมได้นั้นก็คือการทำ “ข้อตกลง” ระหว่างผู้นำที่ได้ความรับผิดชอบในการเป็นผู้นำและตัวของผู้ตามที่ก็ได้รับความรับผิดชอบในการทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างให้เกิดความเข้าใจแบบทะลุปรุโปร่งและป้องกันไม่ให้เกิดความสงสัยลังเลใจใดๆในเวลาต่อมา ซึ่งข้อตกลงที่ดีนั้นต้องประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการ ดังนี้

  • Desired Results : การกำหนด “ผลลัพธ์ที่คาดหวัง” ที่เฉพาะเจาะจงจนเห็นภาพได้อย่างชัดเจนโดยที่ทั้งสองฝ่ายต้องเห็นพ้องต้องกันด้วย ซึ่งผลลัพธ์ที่ดีต้องคิดถึงทั้งผลลัพธ์เชิงธุรกิจและผลลัพธ์เชิงความสัมพันธ์ด้วย
  • Guidelines : การกำหนด “กรอบแนวทาง” ในการได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่คาดหวัง อาทิ หลักการ นโยบายหรือคำแนะนำ โดยเหลือพื้นที่มากพอให้ผู้ตามสามารถคิดวิธีการลงมือทำด้วยตัวเองได้
  • Resources : การกำหนด “ทรัพยากร” และการสนับสนุนจากตัวของผู้นำที่ผู้ตามสามารถนำมาใช้ในการทำตามเป้าหมายได้อย่างชัดเจน
  • Accountability : การกำหนด “ความรับผิดชอบ” ที่ผู้ตามต้องมีหน้าที่ในการตรวจวัด ประเมินผลและสื่อสารกลับมายังตัวของผู้นำตามที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกัน โดยเป้าหมายหลักของกระบวนการคือการทำให้ตัวผู้ตามบริหารจัดการตัวเองด้วยตัวเองได้อย่างเต็มที่
  • Consequences : การกำหนด “ผลที่ตามมา” หากผู้ตามสามารถทำตามหรือไม่สามารถทำตามเป้าหมายได้สำเร็จอย่างชัดเจนจนไม่มีข้อสงสัย

 

Chapter 9 : What Trust & Inspire is Not

การทำความเข้าใจหลักการความเป็นผู้นำแบบ Trust & Inspire อย่างสมบูรณ์แบบนั้นยังต้องเข้าใจถึงสิ่งที่ผู้นำแบบ Trust & Inspire ไม่ใช่และมักก่อให้เกิดความเข้าใจแบบผิดๆอยู่บ่อยๆ ดังต่อไปนี้

  • Trust & Inspire Leadership is Not Weak : ผู้นำแบบ Trust & Inspire ที่ให้ความเชื่อใจและสร้างแรงบันดาลใจโดยไม่พยายามควบคุมทุกการกระทำของพนักงานนั้นไม่ใช่ผู้นำที่อ่อนแอแต่คือผู้นำที่แข็งแกร่งและสามารถสร้างความเชื่อใจจากทุกคนในองค์กรได้มากกว่าผู้นำแบบ Command & Control ที่มักมีแต่คนไม่เลื่อมใสและไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับที่พวกเขาคิด
  • Trust & Inspire Leadership is Not a Lack of Control : ผู้นำแบบ Trust & Inspire ที่ให้อำนาจความรับผิดชอบและสรรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพนักงานนั้นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่สามารถขับเคลื่อนองค์กรได้ แต่กลับเป็นว่าพวกเขามักทำให้องค์กรมีความแข็งแรงที่เต็มไปด้วยพนักงานที่มีแรงบันดาลใจในการทุ่มเททำงานและเป็นหนึ่งเดียวกันมากกว่าผู้นำแบบ Command & Control ที่มักทำให้พนักงานตัวลีบ ไม่ทุ่มเทแรงใจในการทำงานและลาออกกันเป็นว่าเล่นจนไม่สามารถควบคุมองค์กรได้อย่างที่พวกเขาคิดไว้ในที่สุด
  • Trust & Inspire Leadership is Not a Lack of Structure : ผู้นำแบบ Trust & Inspire ที่ให้ความเชื่อใจและเปิดโอกาสให้พนักงานหาแนวทางในการได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนั้นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะต้องละเลยการวางโครงสร้างองค์กร แต่พวกเขามักออกแบบโครงสร้างองค์กรที่เหมาะสมกับสถานการณ์และคนเก่งในองค์กรอยู่เสมอ
  • Trust & Inspire Leadership is Not a Lack of Vision or Direction : ผู้นำแบบ Trust & Inspire นั้นไม่ใช่ผู้นำที่ไร้ทิศทาง แต่พวกเขาจะกำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายในการทำงานแก่พนักงานผู้ที่ได้รับมอบหมายความรับผิดชอบอย่างชัดเจน เพื่อให้พวกเขาสามารถลงมือลงแรงในทิศทางที่ตรงกับวิสัยทัศน์ของผู้นำโดยไม่ปล่อยปะละเลยให้พวกเขาเดินกันไปคนละทิศละทาง
  • Trust & Inspire Leadership is Not a Lack of High Expectations and Accountability : ผู้นำแบบ Trust & Inspire ที่มักกระจายความรับผิดชอบไปยังพนักงานนั้นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะปล่อยให้พนักงานทำตัวอย่างไรก็ได้ แต่พวกเขาจะกำหนดข้อตกลงความรับผิดชอบร่วมกันกับพนักงานอย่างชัดเจนโดยที่พนักงานยังรู้สึกได้รับความรับผิดชอบและพลังในการทำตามข้อตกลงเหล่านั้นได้อย่างเต็มความสามารถที่สุด
  • There is Never a Time Not to be a Trust & Inspire Leader : วิถีผู้นำแบบ Trust & Inspire ถือเป็นวิถีความเป็นผู้นำที่ดีที่สุดในทุกสถานการณ์ รวมถึง กรณีที่ผู้นำมีความจำเป็นต้องออกคำสั่งหรือต้องทำการตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เพราะผู้ตามจะยังคงมองเห็นถึงสไตล์และความตั้งใจของผู้นำที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และความเชื่อใจอย่างแท้จริงอยู่เสมอไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน แตกต่างจากผู้นำแบบ Command & Control ที่ทุกสิ่งคือคำสั่งแบบเบ็ดเสร็จจากเบื้องบนที่พนักงานมีหน้าที่แค่ก้มหน้าทำตาม

 


 

Part Three – Overcoming the 5 Common Barriers to Becoming a Trust & Inspire Leader

 

Chapter 10 : Barrier #1 : “This Won’t Work Here”

อุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงสู่วิถีแห่ง Trust & Inspire ข้อแรกก็คือความคิดที่ว่า “ที่นี่ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก” ซึ่งมักเกิดจากข้ออ้างที่ว่าองค์กรหรืออุตสาหกรรมที่องค์กรดำเนินธุรกิจอยู่นั้นเต็มไปด้วยข้อจำกัดแบบ Command & Control จนไม่น่าจะมีใครลงมือเปลี่ยนแปลงสู่วิถีแห่ง Trust & Inspire ได้สำเร็จ… วิธีแก้ไขความคิดนี้ทำได้ด้วยการ “เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงจากตัวเราเองก่อน” โดยไม่หวังพึ่งผู้อื่น เมื่อการเปลี่ยนแปลงเริ่มส่งผลลัพธ์ที่ดีขึ้นต่อทั้งความสัมพันธ์และผลงานของทีมแล้ว เมื่อนั้นองค์กรในภาพรวมก็อยากที่จะเปลี่ยนแปลงตามและคุณก็สามารถทำหน้าที่เป็น mentor ให้กับผู้อื่น

 

Chapter 11 : Barrier #2 : Fear or “But What If…”

อุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงสู่วิถีแห่ง Trust & Inspire ข้อที่ 2 ก็คือความคิดที่ว่า “แต่ถ้าเกิดว่า..” ซึ่งมักเกิดขึ้นจากความกลัวในความเสี่ยงและความล้มเหลวที่อาจจะเกิดขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วิถีแห่ง Trust & Inspire อาทิ “ถ้าเกิดว่ามันไม่สำเร็จ” หรือ “ถ้าเกิดว่ามีคนหักหลังความเชื่อใจนั้นหละ”… วิธีแก้ไขความคิดนี้ทำได้ด้วยการกลับไปอ่านความรับผิดชอบทั้งหมดของผู้นำแบบ Trust & Inspire เพื่อทำหน้าที่พัฒนาตนเองให้ดีที่สุด โดยเฉพาะการทำตัวเป็นต้นแบบที่ดี (modeling) และการให้ความเชื่อใจอย่างชาญฉลาด (smart trust) แก่ผู้ที่มีความน่าเชื่อถือที่สามารถตัดสินใจได้จากวิจารณญาณที่ดี (good judgment) โดยยังคงรักษาวิธีคิดที่ว่ามนุษย์ส่วนใหญ่นั้นสามารถเชื่อใจได้และความเชื่อมั่นว่า Trust & Inspire คือวิธีคิดแบบผู้นำที่มีประสิทธิภาพที่สุด

 

Chapter 12 : Barrier #3 : “I Don’t Know How to Let Go”

อุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงสู่วิถีแห่ง Trust & Inspire ข้อที่ 3 ก็คือความคิดที่ว่า “ฉันไม่อาจปล่อยมันไปได้” ทั้งในแง่ของการปล่อยความรับผิดชอบไปให้แก่ผู้อื่นหรือปล่อยวิธีคิดแบบ Command & Control ให้หมดไป… วิธีแก้ไขความคิดนี้ทำได้ด้วยการเปลี่ยนความคิดว่าความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นจากการปล่อยให้ผู้อื่นได้ทดลองผิดลองถูกแทนการลงมือทำด้วยตัวเองนั้นคุ่มค่ากับการเรียนรู้ที่พวกเขาจะได้รับและการยกเลิกนโยบายแบบ Command & Control ที่ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้วนั้นมีโอกาสสร้างประโยชน์ได้มากกว่าการเก็บมันไว้

 

Chapter 13 : Barrier #4 : “I’m the Smartest One in the Room”

อุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงสู่วิถีแห่ง Trust & Inspire ข้อที่ 4 ก็คือความคิดที่ว่า “ฉันคือคนที่ฉลาดที่สุดในห้องนี้” ที่ผู้นำเชื่อว่าไอเดียของตัวเองดีที่สุดเสมอจนทำให้ผู้ตามรู้สึกไม่ได้รับการให้คุณค่าแก่ความคิดของพวกเขาและสูญเสียความเชื่อใจที่สุดท้ายก็ทำให้ตัวผู้นำพลาดโอกาสในการรับฟังไอเดียดีๆไป… วิธีแก้ไขความคิดนี้ทำได้ด้วยการเปลี่ยนความคิดจากการไปคนเดียวไปได้เร็วมาเป็นความเชื่อว่า “ความคิดของคนหลายคนนั้นดีกว่าความคิดของคนคนเดียวเสมอ (none of us is smarter than all of us)” ซึ่งต้องมาพร้อมกับการถ่อมตนยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ฉลาดที่สุดและการรับฟังอย่างตั้งใจและเคารพในไอเดียของผู้อื่นด้วยความเชื่อที่ว่าผู้อื่นก็มีศักยภาพและสามารถพัฒนาเติบโตไปได้อีกเรื่อยๆ… ผู้นำที่ดีจึงไม่ใช่คนออกไอเดียที่ดีที่สุดแต่เป็นผู้ที่สามารถเพิ่มพูน (multiply) ไอเดียของทุกคนจนได้เป็นไอเดียที่ดีที่สุด

 

Chapter 14 : Barrier #5 : “This is Who I Am”

อุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงสู่วิถีแห่ง Trust & Inspire ข้อที่ 5 ก็คือความคิดที่ว่า “มันคือตัวตนของฉัน” ที่ผู้นำเชื่อมั่นว่าวิธีคิดแบบ Command & Control นั้นคือวิธีการเดียวที่พวกเขาทำได้… วิธีแก้ไขความคิดนี้ทำได้ด้วยการคิดแบบเติบโต (growth mindset) ว่ามนุษย์ทุกคนไม่ใช่เครื่องจักรที่ถูกโปรแกรมมาแล้วตั้งแต่เกิด แต่พวกเราต่างเป็นโปรแกรมเมอร์ผู้ที่สามารถลบโค้ดเดิมและเขียนโค้ดใหม่ให้กับตัวเองได้อยู่เสมอ

 


 

Part Four – The New Way to Lead in a New World

 

Chapter 15 : Trust & Inspire in Any Context : Parenting, Teaching, Coaching… and More

วิถีความเป็นผู้นำแบบ Trust & Inspire นั้นสามารถนำมาปรับใช้ในทุกสถานการณ์ของความเป็นผู้นำในชีวิตประจำวันได้ ไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ คุณครู โค้ชสอนกีฬา ทนายความ พระสงฆ์และอีกมากมาย โดยผู้นำที่ปฏิบัติตัวแบบ Trust & Inspire ในที่ทำงานแล้วก็ควรนำเอาหลักคิดเดียวกันมาใช้กับตัวเองและความสัมพันธ์รอบข้างเช่นเดียวกัน

ยกตัวอย่างกรณีของการเป็นพ่อแม่แบบ Trust & Inspire นั้นต้องเริ่มจากการมีความเชื่อที่ว่าลูกของเรามีศักยภาพและเป้าหมายของพ่อแม่ก็คือการอุ้มชูศักยภาพเหล่านั้นให้ลูกเติบโตเป็นคนที่มีคุณค่า… ไม่ใช่การสร้างบุคคลที่เชื่อฟังคำสั่งของพ่อแม่อย่างไม่ลืมหูลืมตา ซึ่งก็มักไม่ดีค่อความสัมพันธ์และอนาคตของลูกเอาเสียเลย… ดังนั้น พ่อแม่จึงต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีของนิสัยที่พ่อแม่อยากให้ลูกๆกระทำ พ่อแม่ต้องหมั่นสื่อสารในศักยภาพที่มีอยู่ของตัวลูกและให้ความรับผิดชอบเล็กๆน้อยๆให้ลูกได้เริ่มรู้สึกถึงความเชื่อใจในศักยภาพของพวกเขา ปิดท้าย พ่อแม่ก็ต้องหมั่นสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาได้ค้นพบสิ่งที่มีความหมาย

ไม่ว่าในสถานการณ์ใด… หากเราทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี ผู้อื่นจะคิดอยากทำตัวแบบที่ดีเหมือนเรา…หากเราให้ความเชื่อใจ ผู้อื่นจะตั้งใจทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุดสมกับความเชื่อใจนั้น… หากเราสร้างแรงบันดาลใจ ผู้อื่นก็อยากที่จะร่วมลงมือทำสิ่งที่มีความหมายนั้นไปพร้อมกับเรา

 




<<< ติดตาม [สรุปหนังสือ] เล่มอื่นๆต่อได้ทางนี้เลยครับ [CLICK] >>>

 

<<< ที่สำคัญ อย่าลืมกดไลค์ Panasm’s Facebook Page เพื่อติดตามอัพเดทใหม่ๆของผมนะครับ [CLICK] >>>

 

<<< ปิดท้าย สิ่งที่ผมทำสรุปมานั้นเป็นเพียงแค่เนื้อหาส่วนที่ผมสนใจที่สุดของหนังสือเล่มนี้ สำหรับเพื่อนๆที่ถูกใจสรุปของหนังสือเล่มนี้ อย่าลืมซื้อหนังสือเล่มเต็มและอุดหนุนผู้เขียนกันด้วยนะครับ ขอบคุณที่ติดตามครับผม >>>

 

Be the first to comment

Leave a Reply

Your email address will not be published.


*